เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ก.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราจะฟังธรรมนะ ฟังธรรมเพราะอะไร? ฟังธรรมเพราะเราขาดแคลนไง เราขาดแคลนธรรมะในหัวใจของเรา แต่เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเราหาเอาได้จากโลก เราเกิดมาจากโลก เราหาเอาจากโลก ถ้าหาเอาจากโลก หาเอาจากโลกเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม? ดำรงชีวิตไว้เพื่อจะแสวงหา เพื่อจะทำให้จิตใจของเรามันพ้น มันเป็นอิสระขึ้นมา ถ้าจิตใจยังไม่เป็นอิสระมันจะเป็นอย่างนี้ มันจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เราประพฤติปฏิบัติ ให้เราแก้ไขตัวเราเองไง แต่การแก้ไขตัวเราเอง การจะแก้ไขแก้ไขกันที่ไหน? พอแก้ไขกันที่ไหน นี่แก้ไขแบบโลก แบบโลกคือการศึกษาเอา ทางวิทยาศาสตร์นะ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ถ้าเราพิสูจน์ได้ สิ่งนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิทยาศาสตร์แล้วกิเลสมันพอใจไหมล่ะ? มันยอมรับสิ่งนั้นไหมล่ะ? มันไม่ยอมรับหรอก มันไม่ยอมรับเพราะอะไร? เพราะกิเลสมันเจ้าแง่แสนงอนมากมายนัก

ถ้ามันเจ้าแง่แสนงอนมากมายนัก เห็นไหม ที่เราแสวงหากันนี่เราแสวงหากัน ถ้าเราลงใจที่ไหนล่ะ? เราลงใจที่ไหน เราก็อยากไปทำบุญที่นั่น แต่ถ้าเราไปทำที่นั่น ไปทำบุญที่ไหนนี่ครอบครัวกรรมฐาน ในครอบครัวของเรา ในครอบครัวของเรามันก็ต้องมีกติกาของเรา ตอนนี้นะไอ้โรคปากเท้าเปื่อย มันเปื่อยเพราะอะไรล่ะ? เพราะมันติดเชื้อ พอมันติดเชื้อขึ้นมา ดูสิเวลาเด็กติดเชื้อเขาต้องทำความสะอาดหมดเลย เพราะเขากลัวเชื้อนี้มันติดขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นครอบครัวกรรมฐาน ครอบครัวกรรมฐานเขามีกฎกติกาของเขา ถ้ามีกฎกติกาของเขา เรายอมรับกฎกติกาอันนั้นได้ไหม? ถ้ายอมรับกติกาอันนั้นได้เราจะไปที่นั่นได้ ถ้าเราไม่ยอมรับกฎกติกาอันนั้น เวลาเราไป เราขับรถไปบนถนน ในเมื่อกฎจราจรเราไม่ยอมรับกฎจราจรนั้น เราเจอสิ่งใดเราก็จะลุยของเราไปเลย แล้วเราจะเป็นอย่างไรล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราเข้ามาในครอบครัวกรรมฐาน ครอบครัวกรรมฐาน ธุดงควัตร ถ้าธุดงควัตรนะ เขามีความสงบความสงัดของเขา เขาต้องขัดเกลาของเขา ขัดเกลาเพื่ออะไรล่ะ? ขัดเกลาของเขาก็เพื่อที่ว่าเราแสวงหาธรรมๆ กันนี่ไง มันเป็นการขัดเกลากิเลส มันไม่ใช่ชำระกิเลสหรอก ในเครื่องขัดเกลา แม้แต่เครื่องขัดเกลาเราก็เหนี่ยวรั้งกันจนให้เครื่องขัดเกลานั้นอยู่ไม่ได้ ถ้าเราให้เครื่องขัดเกลานั้นอยู่ได้นะเขาจะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติของเขาใช่ไหม?

ถ้าเขาไม่มีโอกาสประพฤติปฏิบัติของเขา นี่สิ่งที่เวลาเราจะเข้าไปในสถานที่ใด ถ้าเราจะเข้าไปสถานที่ที่เราพอใจ เราสะดวกสบาย มันก็มีอยู่ทั่วไปไง ถ้ามีอยู่ทั่วไป นี้เราบอกว่าทำไมพระประพฤติปฏิบัติตัวกันอย่างนั้น ทำไมสิ่งนั้นมันไม่ถูกใจเราเลย แต่เราไปที่ถูกใจ เรายอมรับที่ถูกใจนั้นไหม? ถ้าเรายอมรับที่ถูกใจนั้น เราเริ่มมีความเป็นสุภาพบุรุษ

การเป็นสุภาพบุรุษนะมันต้องซื่อตรงก่อน ถ้าซื่อตรงว่าสิ่งใดดีและไม่ดี ถ้าสิ่งใดที่ไม่ดีเราก็ไม่ควรทำ เราควรทำแต่สิ่งที่ดีๆ นั้น ถ้าสิ่งที่ดีๆ นั้น นี่กฎกติกา ถ้ากฎกติกานี้มันขึ้นมา เห็นไหม นี่เรามีโอกาสแล้ว เวลาฟังธรรมของครูบาอาจารย์นะ ถ้าเวลาฟังธรรมแล้วมันขนลุกขนพอง คนนั้นแหละมีโอกาสมาก เพราะหัวใจมันกระทบกระเทือน แต่ฟังธรรมเข้าไปแล้วนะ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังธรรมเพื่ออะไร? ฟังธรรมเพื่อเอาบุญ

ไม่ใช่ ฟังธรรมเพื่อให้จิตใจมันตื่นตัวขึ้นมา ฟังธรรมให้จิตใจมันรู้สึกตัวขึ้นมาไง ถ้ามันรู้สึกตัวขึ้นมา เห็นไหม มันจะตื่นตัว มันจะมีการแก้ไขในชีวิตของเรา ชีวิตของเราที่เราเป็นทุกข์ เป็นยากกันอยู่นี่ เวลามันทุกข์ยากก็ว่าทุกข์ยาก เวลาประพฤติปฏิบัติก็ซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้นแหละ เกิดมาเป็นแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วก็จะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วมันจะไปแก้ไขที่ไหนล่ะ?

เวลาแก้ไขขึ้นมา เห็นไหม เวลาพระเราเวลาออกบวช เข้าป่าเข้าเขาแล้วเข้าไปทำไมล่ะ? เข้าป่าเข้าเขานะ โดยที่เข้าไปแบบโลก เข้าไปแบบเถรตรงไง เข้าไปแบบเถรส่องบาตร เข้าไปคิดว่าอยู่ป่าอยู่เขาแล้วจะประเสริฐไง สัตว์มันอยู่ในป่าในเขา ดูสิดูสัตว์ป่า เห็นไหม เสือ สาง ช้าง ม้ามันอยู่ในป่ามันเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไหม? ไม่เป็นหรอก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสัตว์ แต่มันดำรงชีวิตในป่าของมัน แต่ในป่านั้นมันเป็นสัจธรรม มันเป็นสัจธรรมหมายความว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น

ป่านะ เราไม่ต้องไปทำลายมัน ไม่ต้องไปปลูกมันหรอก มันฟื้นฟูตัวมันเองได้ สัจธรรมมันมีของมันอยู่อย่างนั้น นี่มันจะฟื้นตัวของมันขึ้นมา เพราะสิ่งที่มีชีวิตมันต้องดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน มันต้องแก้ไขของมัน เราก็เหมือนกัน ตอนนี้เราออกจากธรรมไปสู่โลก ถ้าเราเข้าไปสู่ป่านะ เราเข้าไปสู่ป่า เข้าไปแล้วเราจะดำรงชีวิตอย่างใด? สิ่งนั้นมันบีบคั้นมาหมดเลย กลัวทั้งความสงบสงัด กลัวทุกอย่างไปหมดเลย

ความกลัวนั้น เวลาเราอยู่ในสังคมทำไมเราเป็นคนที่กล้าหาญมาก เราเป็นคนที่มีปัญญามาก เราเป็นคนที่เก่งมาก เวลาเข้าป่าไปทำไมขาสั่นล่ะ? ขาสั่นเพราะอะไร? เพราะดำรงชีวิตของเรา เห็นไหม เพราะเราไม่ใช่สัตว์ สัตว์มันอยู่ในป่าในเขาของมันโดยธรรมชาติของมัน มนุษย์มีสมองมีปัญญา แต่มนุษย์ต้องการดูแลรักษาหัวใจของตัว แต่เวลาอยู่ในชุมชนอยู่ในที่มันสะดวกสบายมันก็ลืมตัว มันลืมตัวมันเอง แต่เวลาเข้าป่าไป สัตว์มันดำรงชีวิตของมัน

เราเป็นมนุษย์แล้วบวชพระด้วย แล้วบวชพระขึ้นมา เราเข้าไปเพื่อหาอะไรล่ะ? เข้าไป เห็นไหม นี่สัปปายะ เพื่อเข้าไปค้นคว้าหาจิตใจของเรา ถ้าค้นคว้าหาจิตใจของเรา มันเห็นคุณค่านะ อยู่ในป่าในเขามันสงบสงัด มันเป็นความจริง แต่สังคมนี่สิ่งสมมุติโลกสร้างขึ้น ถ้าโลกสร้างขึ้น เราอยู่ที่สิ่งต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมาอย่างนั้น แล้วเราจะไปค้นคว้าที่ไหน? เราก็ติดโลกไง แต่ถ้าเราเข้าป่าเข้าเขาไป เอาสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องควบคุมจิตใจเรา ถ้าควบคุมจิตใจเรานะ พอมันเห็นคุณค่าไง เห็นไหม เราเห็นคุณค่าไง เราเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าของธรรมชาติ เห็นคุณค่าความสงบสงัด

นี่สิ่งต่างๆ เห็นคุณค่าของมัน นี่คุณค่าจากภายนอกนะ แล้วถ้าคุณค่าแล้ว ถ้าเราประพฤติปฏิบัติได้มันจะเห็นคุณค่า แล้วจะอยู่ที่นั่น แล้วจะค้นคว้าหาใจของตัว แต่ถ้าจิตใจของคนมันหยาบนะ ไม่เอา สิ่งที่สะดวกสบายก็มี ไปอยู่ในสังคม สังคมทุกอย่างก็มีพร้อมอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องมาทุกข์มายาก ทำไมต้องมาบีบคั้นตัวเอง โอ๋ย! เราเป็นคนฉลาด เราไม่ใช่คนโง่

เวลากิเลสมันหลอกลวง เราเป็นคนฉลาด ฉลาดอะไร? ฉลาดหนีจากความจริงไปอยู่กับสังคมไง ไปอยู่กับโลกไง นี่ถ้าฉลาดทำไมไม่ค้นคว้าตัวเราขึ้นมาล่ะ? แต่ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมมันพอใจ มันเห็นคุณค่า แต่ถ้าจิตใจมันไม่เป็นธรรมนะ ของนี้เล็กน้อย ของนี้เอาไว้คนที่ฝึกหัดใหม่ เราควบคุมใจเราได้หมดแล้ว ใจเราเป็นความว่าง เรามีความสงบสงัด

นี่เวลากิเลสมันหลอกนะ มันหลอกให้เราออกมาจากที่นั่นไง พอออกมาจากที่นั่นนะ พอมาปฏิบัติข้างนอกแล้วได้ผลอะไรไหม? ได้แต่ความทุกข์ไง ได้แต่ความเผาใจไง แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่เราต้องดัดแปลงของเราก่อน การจะปล่อยวางนี่จะปล่อยวางอะไร? มีอะไรให้ปล่อยวาง เราปล่อยวางอะไร? เราไม่มีอะไรเลยแล้วบอกปล่อยวาง เราไม่ทำอะไรเลยบอกปล่อยวาง ว่าง สบาย ไอ้นี่มันฉ้อฉลแล้ว แต่ถ้าเป็นความจริงนะเราจะปล่อยวางอะไร? เราเห็นจิตใจของเราไหม?

ปฏิสนธิจิตเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะไม่มีพ่อไม่มีแม่เราจะเกิดมาจากไหน? นี่เราเกิดจากพ่อจากแม่นะ นี่สังคมโลก นี่ผลของวัฏฏะ แต่ความจริงมันเกิดจากกรรม เพราะมันมีเวรมีกรรม เพราะมันมีอวิชชา มีความไม่รู้ของมัน มันถึงขับให้มาเกิดในนี้ พอเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่เกิดจากพ่อจากแม่ เราเกิดจากพ่อจากแม่ แล้วกรรมของตัวล่ะ? แล้วความเห็นของตัวล่ะ? แล้วทิฏฐิมานะของตัวล่ะ? แล้วปฏิสนธิจิตที่มันพาเกิดๆ ล่ะ?

นี่เกิดจากพ่อจากแม่ เพราะพ่อแม่ก็บอกว่าอยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นได้ไหมล่ะ? แต่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะอะไร? เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะให้ชีวิตนี้มา ถ้าให้ชีวิตนี้มา เห็นไหม ชีวิตนี้มีคุณค่ามาก โลกนี้มีเพราะมีเรา สรรพสิ่งที่มีเพราะมีเรา ทรัพย์สมบัติพัสถานมีเพราะเราแสวงหามา ถ้าเราไม่มีเรา สิ่งนี้มันก็อยู่กับโลกนี้ นี่โลกนี้มีเพราะมีเรา แล้วเราทุกข์ไหมล่ะ? เราทุกข์ไหม?

นี่ไงเพราะเราทุกข์ขึ้นมา ถ้าเราเข้ามา ธรรมะมันมีค่าตรงนี้ไง โลกนี้มีเพราะมีเรา สรรพสิ่งสมบัติของโลกนี้ทั้งหมดเลย เราหามาได้หมดเลย แต่เราหาใจเราไม่ได้ เราหาความสุขความจริงในหัวใจเราไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความสุขมันอยู่กับเรานี่แหละ มันพาเราเกิดนี่แหละ เพราะถ้าไม่มีปฏิสนธิจิตมันไม่มีการเกิด การเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะมีปฏิสนธิจิตมันพามาเกิด แล้วปฏิสนธิจิตมันพาเราเกิดอยู่แล้ว มันอยู่กับเรานี่แหละ แต่เราไม่เห็นมัน แล้วเราไปตื่นกับโลก เราส่งออกหมด เห็นไหม ปัญญาเราส่งออกหมด

นี่ฟังธรรมๆ ฟังตรงนี้ ฟังธรรมขึ้นมาให้ทุกคนเห็นคุณค่าของตัวเอง ให้ทุกคนเห็นคุณค่าของความรู้สึกของเรา ให้ทุกคนเห็นคุณค่าของหัวใจที่มันพาเกิดนี่ ที่มันทุกข์ๆ อยู่นี่ แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชำระที่นี่ได้ ชำระที่นี่ได้ เห็นไหม ตั้งแต่ธรรมและวินัย วินัยตั้งกฎระเบียบขึ้นมา ที่ไหนเขาทำดีเราก็ส่งเสริมเขา ส่งเสริมหลวงตาท่านบอกอย่างนี้นะ ส่งเสริมด้วยการนั่งนิ่งๆ ไม่ใช่ส่งเสริมขึ้นมา โอ๋ย! เฮกันไปเฮกันมา เฮนั่นไม่ใช่ส่งเสริม เฮแบบนั้นทำลาย ทำลายเพราะการส่งเสริมนั้นมันมีแต่เสียง มีแต่ความอึกทึกครึกโครมไปทั้งนั้นแหละ

การส่งเสริม เราเห็นคนดีเราก็ภูมิใจใช่ไหม? เราเห็นคนดีจิตใจเราเป็นอย่างไร? เราก็พอใจ ส่งเสริมอย่างนั้น ไม่ใช่เห็นคนดีจะไปทับคนดีไง โอ๋ย! คนนี้ดี ไปอุ้มมันขึ้นมา คนดีก็เลยวุ่นวายไปหมดเลย นี่ไงจะส่งเสริมเรานะ เราต้องเคารพสถานที่นั้น ถ้าเคารพสถานที่นั้น นี่หลวงตาท่านพูดประจำ ตอนอยู่กับท่านนะ ถ้าใครจะเข้าประตูมานะ เขี้ยวเล็บเอ็งน่ะถอดไว้ที่นั่น ใครมีเขี้ยวมีเล็บถอดไว้ที่ประตูนั้นแล้วค่อยเข้ามา ถ้าเอาเขี้ยวเอาเล็บเข้ามา เขี้ยวเล็บนั้นมันจะมาระรานกัน ถ้ามาระรานกันนี่วุ่นวายไปหมด

นี่เรามีเขี้ยวมีเล็บ มีทิฏฐิ ทุกคนมีทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็น แล้วความเห็นมันเหมือนกันไหม? ถ้าความเห็นไม่เหมือนกันมันสะเทือนกันแน่นอนอยู่แล้ว ฉะนั้น ถ้าความเห็นไม่เหมือนกันนะ เรารักษาความเห็นของเราไว้แล้วพิสูจน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์สอนเรื่องกาลามสูตร ไม่ใช้เชื่อแม้แต่คนพูด ไม่ให้เชื่อแม้แต่เป็นอาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อสรรพสิ่งทั้งหมดเลย ให้เชื่อสิ่งที่เราพิสูจน์ตรวจสอบขึ้นมาในใจเรานี่แหละ

ถ้าเรามีทิฏฐิมานะของเรา เราว่าเป็นความจริงของเรา เราว่าเราเป็นคนมีศักยภาพ เราเป็นคนที่รู้ นี่พิสูจน์มา พิสูจน์มา อะไรเป็นความจริง? พิสูจน์ในใจเรานั่นแหละ ถ้ามันพิสูจน์ในใจขึ้นมานะ เอาความเป็นจริงอันนั้นแหละ อันนั้นเป็นความจริง มันไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อใคร อย่าเชื่อ ถ้าใครเชื่อคนนั้นโง่ ถ้าฟังแล้วเป็นเหตุเป็นผล แล้วเอาสิ่งนี้หาเหตุหาผล ลบล้างให้ได้ ลบล้างเหตุผลนะ

ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลบมาให้ได้ ถ้าลบได้เราเก่ง แต่เราลบไม่ได้ ลบไม่ได้ทำไมเอ็งดื้ออย่างนี้ล่ะ? ลบไม่ได้ทำไมหัวใจเรามันดื้อขนาดนี้? ทำไมหัวใจเราไม่ยอมรับความจริง? ถ้าหัวใจไม่ยอมรับความจริง นี่ไงทิฏฐิไง ถ้าทิฏฐิมันเกิดขึ้น เห็นไหม สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรดีกว่าเราเลย สรรพสิ่งในโลกนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเราหมดเลย เราใหญ่ทั้งหมด เราเหนือทั้งหมด เราเก่งไปทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราพิสูจน์ของเราแล้วใช่ไหม? ทำไมเอ็งโง่ขนาดนี้? ทำไมเอ็งโง่ขนาดนี้?

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่ มันแปรสภาพทั้งนั้น แล้วเอ็งไปยึดของไม่มี เอ็งยึดของที่มันแปรสภาพ ถ้าสิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะไม่ได้สมความปรารถนา ไม่มีสิ่งใดสมความปรารถนาเราเลย นี่มันได้มาก็เสื่อมไป ไม่ได้มาก็แสวงหา สิ่งที่มีมามันก็ต้องพลัดพรากจากเราไป ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ แล้วเอ็งยึดอะไร? เอ็งอยากได้อะไร? แล้วใครยึด?

“สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

สิ่งที่เป็นทุกข์เอ็งยึด เพราะเอ็งยึดเอ็งก็ทุกข์ เพราะเอ็งยึด เอ็งมีความเห็นผิด เอ็งว่าสิ่งนี้ของข้าๆ ไง สรรพสิ่งนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเราหมด สรรพสิ่งนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้า ทิฏฐินะ มรรยาทมันไม่ทำหรอก เวลามรรยาทสังคม เห็นไหม ก็ว่า โอ๋ย! รู้เห็นไปหมดเลย แต่ในใจมันเป็น ในใจทุกดวงใจ ทุกดวงใจว้าเหว่นะ ทุกดวงใจมันเป็น

สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดมันอาจหาญมาก อาจหาญกับใคร? อาจหาญเพื่อปิดบังหัวใจเราไง อาจหาญว่าเรารู้ เราเก่ง เราแน่ แน่ไปทั้งนั้นแหละ แต่เอาตัวไม่รอด แต่เมื่อใดเรามีสติ เรามีปัญญาของเรา แล้วเราพิสูจน์ของเรา เราตรวจสอบของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมา เห็นไหม

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่กลางหัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ธาตุรู้ ธาตุที่มีสสารที่มีชีวิต สสารในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดมีชีวิต สสารมันเป็นสสาร แล้วมันแปรสภาพของมันไป แต่ธาตุรู้นี่สสารที่มีชีวิต มีชีวิตเพราะอะไร? เพราะมันมีความรู้สึก มันเป็นสันตติ มันเกิดดับๆ มันมีกระแสของมันขึ้นมา แล้วมันเกิดมาเป็นเรา เกิดมาเป็นเรา เห็นไหม ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าเรารู้เห็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราปฏิบัติไป ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่มันจะลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก

เวลาหลวงตาท่านบอกว่า ท่านไปบรรลุธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เห็นไหม ถ้าใครมาเห็นเข้าจะหาว่าคนบ้า ภิกษุองค์หนึ่งกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้ว...มันกราบอะไรล่ะ? มันกราบขึ้นมาด้วยความซาบซึ้งนะ ใครถ้ามันซาบซึ้ง มันสะเทือนหัวใจนะ มันไม่มีอะไรมีค่าไปกว่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่มีคุณค่าไปกว่านี้ แต่ถ้ามันมีทิฏฐิมานะมันไม่ลงใคร มันไม่ลงใคร มันลงกิเลส กิเลสมันเหยียบหัวใจมันไง กิเลสมันเหยียบหัวมัน แต่ถ้ามีสติมีปัญญาของมัน ถ้ามันพิจารณาของมัน มันทำของมันไปแล้ว

นี่ไงที่ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา แต่ถ้าเราพิจารณาของเราเข้าไปนะ นี่เราจะทำลายฝ่าเท้าเรา เพราะฝ่าเท้าอันนี้ไปเหยียบย่ำเขาทั้งหมดเลย พอเหยียบย่ำเขาหมดมันก็สร้างเวร สร้างกรรมขึ้นมาในหัวใจใช่ไหม? มโนกรรม ไม่ได้ทำ แค่คิด แค่คิดไม่ได้ทำ มโนกรรม ย้ำคิด ย้ำทำจนเป็นจริตจนเป็นนิสัย จนจิตนั้นดื้อด้าน จนจิตนี้มันกลับมาทำลายเราเอง ทั้งๆ ที่มันเป็นจิตของเรานะ เพราะทิฏฐิมานะ อวิชชา เพราะมารมันทำลาย พอทำลายแล้วนะ ทำลายมันก็เป็นเวรเป็นกรรม เป็นเวรเป็นกรรมมันก็หมุนไป นามรูปก็หมุนไป หมุนไปในโลกนี้ในจักรวาลนี้

นี่ในโลกนี้ ในวัฏฏะนี้ มันหมุนของมันไป แต่ถ้าเรามีสติปัญญานี่ฟังธรรม สิ่งที่เรามาทำบุญกุศลกันนี้มันเป็นอามิส อามิสคือเป็นวัตถุทาน เป็นวัตถุทานที่เราเสียสละของเราขึ้นมา เสียสละขึ้นมาให้ใจเป็นสาธารณะ เพราะเราอยากได้บุญกุศล เราอยากได้ฟังธรรม เราอยากให้มีสิ่งใดมาสะเทือนหัวใจของเรา ให้หัวใจของเรามันตื่นตัว ให้หัวใจเรามันชื่นบานขึ้นมา ไม่ใช่เศร้าหมอง หมักหมม ทับถมหัวใจนี้

กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจเรานะ กิเลสของเรานี่แหละ กิเลสของเรานี่แหละ แต่ถ้ากิเลสของเราถ้ามันเป็นมรรค มันมีสติปัญญาขึ้นมา กิเลสนี้มันจะฟื้นฟูหน่อของพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในใจเรามันหลับใหล หลับใหลเพราะกิเลสมันเหยียบย่ำไว้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมามันจะฟื้นฟูพุทธะอันนี้ขึ้นมา แล้วฟื้นฟูพุทธะนี้ขึ้นมานะไม่ต้องบอก รู้เอง

นี่ธรรมะมันเป็นตรงนี้ไง ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน มันรู้จำเพาะตน แล้วผู้รู้เท่านั้นจะสื่อให้เราไง จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจของผู้รู้ นี่เพราะใจของผู้รู้ เพราะใจนี้อย่างที่ว่ามันดื้อนัก มันดื้อนัก มันอาจหาญนักว่ามันเก่งทั้งนั้นแหละ ใครก็ว่าเก่ง ใครก็ว่าเก่ง

คนที่มีคุณธรรมเขาถึงอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้ารู้หมดนะ แต่พูดไปแล้วเขาไม่ฟังกับเราหรอก เขาไม่ยอมรับกับเราหรอก พอพูดไปแล้วไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดเลย แต่ถ้าเป็นฟังธรรมอย่างนี้ เห็นไหม นี่พูดข้างเดียวต้องฟัง เพราะมันเป็นเวลาฟัง แล้วฟังเสร็จแล้วอย่าเชื่อ กลับไปพิสูจน์ว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เอวัง